อันตรายทำหมันแล้วไม่ฟื้น

การวางยาสลบเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการดูแลรักษาสัตว์ป่วย ไม่ว่าจะเป็น ทำหมัน ผ่าคลอด การขูดหินปูน หรือการตัดเนื้องอก เป็นต้น เมื่อจะต้องวางยาสลบอาจทำให้คุณแม่กังวลถึงความความปลอดภัย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการวางยาสลบ โดยเฉพาะในสัตว์เลี้ยงที่มีอายุมากแล้ว บางคนวิตกกังวลว่าจะเป็นอันตรายกับสัตว์เลี้ยง บางคนกลัวว่าหากวางยาสลบไปแล้วน้องจะไม่ฟื้น จะเลือกวางยาแบบไหนดี?

.
ประเภทของการวางยาสลบ
เทคนิคในการการวางยาสลบนั้น ที่พบเห็นได้บ่อยมี 2 ประเภท คือ การฉีดยาสลบ จะเหมาะสำหรับการตรวจรักษา หรือผ่าตัด ที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆ แต่จะมีผลข้างเคียงเมื่อได้รับยาในปริมาณที่มาก คือกดการหายใจและทำให้ความดันโลหิตต่ำ ทำให้สัตว์ฟื้นตัวช้า หรือไม่ฟื้นถ้าสัตว์อ่อนแอไม่ได้ตรวจสุขภาพ หรือตรวจเลือดก่อนวางยา ส่วนอีกประเภทคือ การดมยาสลบ ด้วยเครื่องดมยาสลบจะสามารถคงภาวะการสลบได้อย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน กดการหายใจน้อยกว่า และฟื้นตัวได้เร็วหลังจากปิดแก๊สดมสลบ การวางยาสลบด้วยเครื่องดมยาสลบจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่านั่นเอง

ปัจจัยที่ทำให้เกิดอันตรายจากการวางยาสลบ จากการขาดมาตรฐานของห้องผ่าตัด
❌ข้อมูลผลการตรวจร่างกายไม่ละเอียด
ในการวางยาสลบสัตวแพทย์จะต้องพิจารณาเป็นรายตัวไป ซึ่งจะต้องอาศัยข้อมูลและผลการตรวจร่างกาย ผลทางห้องปฏิบัติการที่ถูกต้องมาร่วมด้วยเสมอ ยาสลบบางตัวมีผลทำให้ความดันเลือดลดลง ส่งผลให้ปริมาณเลือดไปที่ไตน้อยลง หากน้องหมามีปัญหาโรคไตแอบแฝงอยู่ แล้วข้อมูลผิดพลาด หลังผ่าตัดอาจทำให้น้องหมามีภาวะไตวายฉับพลันได้นะคะ บางตัวโชคร้าย มีโรคอื่นแฝงอยู่ เช่น โรคหัวใจ โรคตับ หากไม่ได้รับการตรวจเช็คร่างกายที่ถูกต้องก่อนวางยา อาจเกิดภาวะแทรก ซ้อนหลังผ่าตัด ถึงขั้นเสียชีวิตได้
❌การเลือกใช้ยานำสลบชนิดต่างๆ หรือขนาดของยาผิด
สัตว์แต่ละตัวไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอายุมาก หรือมีโรคประจำตัวควรมีการระมัดระวังเอาใจใส่ต่อสัตว์มากขึ้น การเลือกใช้ยานำสลบและขนาดของยาจะต้องปรับให้เหมาะสมกับสภาวะของสัตว์แต่ละตัว จะต้องใช้ความรู้ และประสบการณ์จากสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากเลือกใช้ยาหรือคำนวณขนาดของยาผิด อาจทำให้น้องเป็นอันตรายได้
❌สัตว์ไม่ได้รับการอดอาหารอย่างถูกต้อง
สัตว์ที่ถูกวางยาสลบจะสูญเสียความสามารถในการกลืน หากมีอาหารหรือน้ำในกระเพาะอาหาร สัตว์อาจมีการอาเจียนหรือขย้อนเศษอาหารตกลงไปในปอดในขณะที่ถูกวางยาหรือในขณะที่ฟื้นจากยาสลบ จนเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
❌เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือในการวางยาสลบไม่พร้อม
การวางยาสลบสัตว์ จำเป็นต้องตรวจสอบเครื่องมือก่อนใช้ทุกครั้งตั้งแต่เครื่องดมยาสลบ วงจรระบบหายใจ ท่อช่วยหายใจ อุปกรณ์ในการสอดท่อช่วยหายใจ และเครื่องเฝ้าระวังสัญญาณชีพ ควรมีความเข้าใจในการใช้งาน และแก้ไขปัญหาต่างๆ ของอุปกรณ์ที่ต้องใช้ก่อนวางยาสลบ เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อทางเดินหายใจของสัตว์เลี้ยง
❌ละเลยการเฝ้าระวังสัญญาณชีพ
ต้องมีเครื่องวัดสัญญาณชีพและบุคลากรที่มีความรู้ในการเฝ้าระวัง และตรวจวัด อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อัตราการหายใจ อุณหภูมิ ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติและจะต้องรักษาระดับความลึกของการสลบให้สอดคล้องกับสิ่งกระตุ้นในระหว่างการผ่าตัด และหลังผ่าตัดจนกว่าสัตว์จะฟื้นตัวดีอย่างปลอดภัยที่สุด หากไม่มีหรือละเลย เมื่อเกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์ใดๆ ก็จะไม่สามารถควบคุมและแก้ไขได้ทันท่วงที อาจส่งผลต่อชีวิตสัตว์ได้

ความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยง ที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการวางยาสลบเพื่อผ่าตัด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเลือกสถานพยาบาลที่มีความพร้อมที่จะสามารถดำเนินการบนพื้นฐานที่ต้องลดปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อชีวิตสัตว์เลี้ยงเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าไม่สามารถวัดกันที่ราคาแต่ควรวัดกันที่คุณภาพและความพร้อม

เครดิตข้อมูลและภาพ
โรงพยาบาลสัตว์เอราวัณ

#แผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลสัตว์เอราวัณ มีห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน มีความพร้อมทั้งอุปกรณ์และบุคคลากร
✅เครื่องตรวจวัดสัญญาณชีพ เครื่องให้ความอบอุ่นร่างกาย
✅เครื่องดมยาสลบและเครื่องช่วยหายใจ ที่มีมาตรฐาน
✅ยานำสลบหลากหลายชนิดที่เหมาะกับสัตว์ที่มีโรคประจำตัว หรือสภาวะต่างๆ
✅ห้องผ่าตัดที่สะอาดและปลอดเชื้อ
✅เครื่องมือและอุปกรณ์ทุกชิ้นผ่านการอบฆ่าเชื้อ ปลอดเชื้อ 100%
✅พยาบาลสัตว์ที่มีความชำนาญการ ผ่านการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงที่เข้ามารับบริการที่แผนกของเรา
✅มาตรฐานการตรวจสุขภาพ เพื่อวินิจฉัยสภาวะร่างกายและโรคต่างๆ ก่อนเลือกใช้ยานำสลบและวิธิวางสลบ จากสัตวแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่สัตว์เลี้ยงที่คุณรักอย่างดีที่สุด

ยาคนให้สัตว์กินได้หรือไม่

ยาคนกับยาสัตว์ต่างกันอย่างไร ?

ยาคน หมายถึง ยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในคน และ
ยาสัตว์ หมายถึง ยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์

  1. ในแง่ของการผลิตและการขอขึ้นทะเบียนนั้นเป็นเช่นเดียวกับยาที่ใช้ในคนและมีมาตรฐานการผลิตที่เป็นมาตรฐานเดียวกันแต่ความแตกต่างที่สำคัญ คือ จำนวนตัวอย่างที่ใช้ศึกษาผลทางคลินิกนั้นมีจำนวนตัวอย่างน้อยกว่ายาที่ใช้ในคน
  2. การศึกษาผลของยาและพิษวิทยาของยาที่ใช้ในคนนั้น แม้ว่ายาจะได้มีการทดลองในห้องทดลองโดยใช้สัตว์ทดลองมาก่อนก่อนที่จะนำมาทดลองทางคลินิกกับคนไข้เพื่อประกอบการขอขึ้นทะเบียนยา แต่บริษัทผู้ผลิตยาไม่มีสิทธิที่จะโฆษณาหรือประกาศว่า ยาชนิดนั้นใช้ในสัตว์ได้ จนกว่าจะมีการขอขึ้นทะเบียนเพื่อใช้เฉพาะในสัตว์ โดยต้องระบุชนิดของสัตว์ รวมทั้งขนาด และสรรพคุณอื่นๆ
  3. อย่างไรก็ตามสัตวแพทย์อาจสั่งใช้ยาของคนเพื่อมารักษาสัตว์ที่ตนดูแลได้ตามความจำเป็นและเห็นสมควร โดยทั่วไปสัตวแพทย์จะเลือกใช้ยาที่ขึ้นทะเบียนยาสัตว์ก่อน หากไม่ได้ผลหรือไม่อาจหายาสัตว์รักษาได้จึงจะคิดถึงการนำยาที่ใช้ในคนมาใช้ทดแทน ขนาดของยาที่จะนำมาใช้ทดแทนนั้นต้องเป็นไปตามที่นักวิจัยทางสัตวศาสตร์ได้ทดลองและตีพิมพ์ผลการศึกษานั้นในวารสารวิชาการทางสัตวศาสตร์ที่สามารถอ้างอิงได้ โดยจะมีการรวบรวมขนาดยาและสรรพคุณของยาสัตว์และยาคนที่ใช้ในสัตว์ไว้ในหนังสือคู่มือยาสัตว์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ใช้ในทางคลินิกต่อไป
  4. จำนวนชนิดของยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในสัตว์นั้นมีจำนวนน้อยกว่ายาที่ใช้ในคน เนื่องจากตลาดเล็กกว่ามาก ดังนั้นจำนวนการผลิตจึงน้อยทำให้ต้นทุนมีราคาแพงกว่ายาที่ใช้ในคน การนำยาคนมาใช้ในสัตว์จึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงได้ในระดับหนึ่ง
  5. แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่สามารถที่จะนำยาคนทุกตัวมาใช้กับสัตว์ได้ เพราะถึงแม้ว่ายาทุกตัวจะมีฤทธิ์ต่อคนและสัตว์คล้ายกัน แต่การตอบสนองของร่างกายคนและสัตว์อาจแตกต่างกัน ยาบางชนิดมีพิษต่อคนต่ำแต่มีพิษต่อสัตว์สูง เจ้าของจึงไม่ควรนำยาคนมาใช้ในสัตว์ โดยไม่ได้รับความเห็นจากสัตวแพทย์ก่อน

ถาม: เมื่อสุนัขและแมวป่วยจะให้ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้แพ้ และยาลดน้ำมูกของคนได้หรือไม่ ?

ตอบ: ยาสามัญประจำบ้านหรือยาที่ใช้กันเป็นประจำเพื่อลดไข้บรรเทาปวดในคน เช่น ยาแอสไพริน หรือยาพาราเซตามอล รวมไปถึง ยาแก้แพ้และยาแก้คัดจมูกนั้น ไม่ได้ปลอดภัยหรือมีความเป็นพิษตํ่าในสุนัขและแมวเช่นเดียวกับคน แต่อาจทำให้เกิดความเป็นพิษหรือเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นไม่ควรป้อนยาให้สุนัขและแมวของท่านเองโดยไม่ได้ปรึกษาสัตวแพทย์ก่อน

  1. แอสไพรินแมว จะไวต่อพิษมากกว่าสุนัข เนื่องจากร่างกายของแมวจะเปลี่ยนแปลง และขับยาแอสไพรินออกไปได้อย่างช้าๆ สำหรับขนาดที่อันตรายสำหรับแมวอยู่ที่ 26 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวแมว 1 กิโลกรัม (ยาแอสไพริน 1 เม็ด ขนาดเท่ากับ 500 มิลลิกรัม) อาการแสดงความเป็นพิษ ได้แก่ ซึม อาเจียนจนถึงอาเจียนเป็นเลือด หายใจถี่ อุณหภูมิร่างกายสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปอดบวม สมองบวม โคม่า และเสียชีวิตได้สุนัข จะมีปัญหาเกี่ยวกับเอนไซม์ในการเปลี่ยนแปลงยาน้อยกว่าแมว แต่ปัญหาที่มักพบจากการได้รับยาแอสไพรินในสุนัข คือ การระคายเคืองทางเดินอาหาร มีเลือดออก และเกิดแผลหลุมในกระเพาะอาหาร ขนาดที่อันตรายคือ 55 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวสุนัข 1 กิโลกรัมเป็นต้นไป การดูแลขั้นต้นอาจทำให้อาเจียน ป้อนผงถ่าน (activated carbon) แล้วรีบส่งโรงพยาบาลสัตวทันที
  2. พาราเซตามอลแมว จะไวต่อความเป็นพิษของยาพาราเซตามอลได้มากกว่าสุนัข โดยขนาดยาเพียง 45-55 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ก็สามารถทำให้เกิดความเป็นพิษได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ในแมว (พาราเซตามอล 1 เม็ด ขนาดเท่ากับ 500 มิลลิกรัม) เนื่องจากในแมวนั้นขาดเอนไซม์ที่ใช้เปลี่ยนแปลงยาทำให้ยาเกิดความเป็นพิษขึ้น โดยจะมีความเป็นพิษร้ายแรงต่อไต ตับ ระบบทางเดินอาหาร และระบบเลือด โดยเม็ดเลือดแดงของแมวนั้นไวต่อการถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถขนส่งออกซิเจน ส่งผลให้แมวเสียชีวิตได้ อาการที่แสดงความเป็นพิษจะเกิดขึ้นภายใน 4-12 ชั่วโมงหลังจากได้รับยา โดยอาการที่อาจพบได้ในระยะเริ่มแรก คือ น้ำลายฟูมปาก อาเจียน ซึม หายใจลำบาก เหงือกมีสีคล้ำ อุ้งมือบวม อุ้งเท้าบวม หน้าบวม และเบื่ออาหาร อาการทั้งหลายเหล่านี้จะแสดงหลังได้รับยาเพียง 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นตับอาจเสียหาย เริ่มสังเกตเห็นอาการดีซ่าน ชัก โคม่า และเสียชีวิตได้ภายใน 18-36 ชั่วโมง
    สุนัข ขนาดของยาที่ทำให้เกิดความเป็นพิษจะสูงกว่าในแมว คือ 165-250 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเป็นต้นไป ความเป็นพิษมักเกิดขึ้นกับตับ และไต ทำให้เกิดภาวะตับ และไตวายได้ อาการที่แสดงความพิษที่พบได้ คือ ซึม อาเจียน น้ำปัสสาวะสีน้ำตาลแดงคล้ำ และเสียชีวิตภายใน 2-5 วัน ดังนั้นเจ้าของสัตว์เลี้ยงจึงไม่ควรให้ยาพาราเซตามอลกับสุนัขและแมวด้วยตนเอง หากจำเป็นควรอยู่ในความดูแลของสัตวแพทย์ การรักษาแมวที่ได้รับพิษมักไม่ได้ผล สำหรับสุนัขได้ผลดีกว่า ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดยาที่ได้รับ อาจทำให้อาเจียน ป้อนผงถ่าน (activated carbon) แล้วรีบพาไปโรงพยาบาลสัตว์ทันที
  3. ยาแก้แพ้ เช่น ตัวที่เรารู้จักกันดีที่มีชื่อว่า CPM หรือคลอเฟนิรามีน ถึงแม้ยาตัวนี้จะมีการนำมาใช้รักษาในทางสัตวแพทย์ แต่หากได้รับเข้าไปเกินขนาดก็จะทำให้เกิดความเป็นพิษร้ายแรงต่อระบบประสาทส่วนกลาง อาจพบอาการตื่นเต้นไปจนถึงมีอาการชัก หรือ ซึมไปจนถึงโคม่า กดการหายใจ หายใจลำบาก และเสียชีวิตได้ การดูแลขั้นต้นอาจทำให้อาเจียน ป้อนผงถ่าน (activated carbon) แล้วรีบพาไปโรงพยาบาลสัตว์ทันที

เครดิตข้อมูล
https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/

น้องหมานอนกรนเกิดจาก..อะไร

ใครได้ยินเสียงเจ้าตูบที่นอนอยู่ข้าง ๆ กรนบ้างไหม?
สงสัยไหมว่าทำไมเวลาน้องหมานอนถึงได้มีเสียงกรน

น้องหมานอนกรน เกิดจากการที่มีบางสิ่งบางอย่างอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนอยู่ หรือ เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายบางอย่าง เช่น กะโหลกศีรษะ กระดูกใบหน้าหรือโครงสร้างของหลอดลม ทำให้มีภาวะหยุดหายใจไปชั่วขณะ นั่นคือการนอนกรนนั่นเอง
และสาเหตุต่างๆ ที่สามารถทำให้น้องหมานอนกรน

1. อ้วนเกินไป การที่น้องหมามีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
จะทำให้มีไขมันสะสมกระจาย อยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น สะโพก ท้อง ต้นขา และยังพบว่ามีเนื้อเยื่อไขมันกระจาย
อยู่รอบๆ ทางเดินหายใจช่วงบนมากขึ้นด้วย โดยไขมันที่พอกบริเวณคอนี้เองจะทำให้ช่องคอแคบลงได้ ร่วมกับการที่หน้าท้องมีไขมันเกาะอยู่มากทำให้กะบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ ความจุของปอดลดลง

2. แน่นจมูก  จมูกเป็นต้นทางของทางเดินหายใจ
ภาวะใดก็ตามที่ทำให้เกิดอาการแน่นจมูก เช่น น้องหมาเป็นหวัดมีน้ำมูก ภูมิแพ้ เยื่อบุจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือมีเนื้องอกในจมูก ย่อมทำให้เกิดอาการกรนขึ้นได้

3. หน้าแบน เช่น น้องหมาพันธุ์ ปักกิ่ง ปั๊ก ชิสุ บูลด็อก บอสตัน เทอร์เรียร์ เป็นต้น การที่มีหน้าตาแบนๆ จะทำให้มีพื้นที่ทางเดินหายใจช่วงบนแคบลงและเกิดการอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเกิดการติดเชื้อ
ในทางเดินหายใจ จึงทำให้นอนกรน

4. การใช้ยาชาเฉพาะที่ เมื่อมีการใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อระงับอาการเจ็บปวดต่างๆ ในน้องหมาอาจ ส่งผลให้กล้ามเนื้อต่างๆ คลายตัวลงจึงทำให้เกิดการอุดตันทางเดินหายใจได้

5. อยู่ในที่ที่มีควันบุหรี่ การที่น้องหมาต้องอยู่ในที่ซึ่งมีควันบุหรี่หรือเจ้าของสูบบุหรี่ ก็จะทำให้น้องหมา ได้รับควันบุหรี่ไปด้วย ซึ่งควันบุหรี่นั้นจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจแย่ลง ทำให้คออักเสบจากการระคายเคือง มีการหนาบวมของเนื้อเยื่อ
ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง เกิดการอุดตันได้ง่าย และยังส่งผลเสียต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจอีกด้วย

ดังนั้นลองหาสาเหตุดูว่าน้องหมาของเราเข้าข่ายในข้อไหนบ้างหรือเปล่า เผื่อจะได้ใช้เป็นแนวทางในการลดอาการนอนกรนของเขาลงได้บ้าง
.

เครดิต
สพ.ญ.อรญา ประพันธ์พจน์
แผนกอายุรกรรม, แผนกศัลยกรรม, แผนกโรคหัวใจ
โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน

คร่อกๆๆ 💤 ครืดคราดๆๆ 💤.ใครได้ยินเสียงเจ้าตูบที่นอนอยู่ข้าง ๆ…

โพสต์โดย โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2020

ทำไม่ น้องหมาน้องแมวที่มาตรวจผิวหนัง ควรงดอาบน้ำ 3-5 วันก่อนพามาตรวจ

น้องหมาน้องแมวใครมีปัญหาเรื่องผิวหนัง ถ้าจะไปพบคุณหมอ ควรงดอาบน้ำ 3-5 วันนะ

ใครเคยสงสัยกันหรือไม่ ทำไมน้องหมาหรือน้องแมวที่เป็นโรคผิวหนัง ถึงควรงดอาบน้ำ 3 -5 วันก่อนพามาตรวจ…..

โรคผิวหนังในสัตว์เลี้ยง แม้จะมีรอยโรคคล้ายกัน แต่สาเหตุของโรคนั้นแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ขี้เรื้อน เชื้อยีสต์ เชื้อรา หรือโรคจากความผิดปกติอื่นๆเช่นโรคภูมิแพ้ และ โรคฮอร์โมน ซึ่งวิธีการตรวจผิวหนังพื้นฐานที่จำเป็นจะต้องตรวจทุกครั้ง คือ การเก็บตัวอย่างเซลล์บนผิวหนังและย้อมสี เพื่อส่องบนกล้องจุลทรรศน์ (Cytology)

การอาบน้ำน้องหมาหรือน้องแมวมาก่อน จะชะล้างเชื้อโรคบางส่วนออกไป ทำให้คุณหมอตรวจไม่พบตัวต้นเหตุ หรือ พบน้อยกว่าปกติ ทำให้วินิจฉัยโรคได้ยาก ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถตรวจพบปัญหาที่แท้จริง จึงแนะนำให้งดอาบน้ำสัตว์เลี้ยงก่อนพามาตรวจผิวหนัง 3-5 วัน.

 

เครดิตข้อมูล;PRS.Center

หน้าร้อนกับภาวะ Heat Stroke น้องหมา

ช่วงหน้าร้อนของทุกปี Admin เห็นหลายคน แชร์ภาพน้องหมาที่เสียชีวิต จากอากาศที่ร้อน ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Heat Stroke  บางตัวช่วยทันและช่วยอย่างถูกวิธีน้องหมาก็มีโอกาสรอด แต่ก็มีหลายตัวที่เกิด Heat Stroke  แล้วเสียชีวิต
ลองอ่านบทความดีๆจากคุณหมอ เพจ MJ Pet Hospital รพ.สัตว์หมอเจี๊ยบ ด่วนแจ้งวัฒนะ

ช่วงเวลาหน้าร้อนของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาอีกช่วงหนึ่งของ เจ้าของสุนัข ที่จะต้องระมัดระวังกันมากเป็นพิเศษ จากสภาวะอากาศที่ร้อน และสามารถทำให้สุนัขเกิดภาวะ Heat Stroke ได้ ทั้งนี้เนื่องจาก การระบายความร้อนของสุนัขจะใช้การระบายออกทางลมหายใจ และต่อมเหงื่อที่มีตรงบริเวณอุ้งเท้า ดังนั้นเมื่ออากาศร้อนมาก การระบายความร้อนอาจเกิดขึ้นได้ไม่ทันท่วงที ทำให้เกิดภาวะ Heat Stroke ตามมาได้ และนำมาซึ่งการเสียชีวิตของสุนัข ได้ หากเราแก้ไขหรือทำการช่วยเหลือได้ไม่ทันท่วงที

อาการเบื้องต้นที่เราควรระวัง คือ สุนัขจะมีอาการหอบหายใจรุนแรงมาก น้ำลายไหลยืด สีเหงือกหรือ ลิ้น จะพบว่ามีสีแดงเข้มมากกว่าปกติ หลายตัวเมื่อร่างกายสุนัขเอง ไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ อุณหภูมิในร่างกายจะเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากได้วัดอุณหภูมิในร่างกายจะพบว่า สุนัขมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่า 103 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ มากกว่า 39.4 องศาเซลเซียสขึ้นไป ในบางราย อุณหภูมิสามารถขึ้นไปถึง 106 องศาฟาเรนไฮต์เลย และจะเริ่มมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังระบบอื่นๆ ในร่างกาย เช่น พบมีอาเจียน ท้องเสีย สูญเสียการทรงตัว มึนงง เดินโซเซ ระบบการทำงานของเลือดล้มเหลว เริ่มมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ผนังลำไส้ด้านใน ทำให้ถ่ายออกมามีเลือดปน หลายๆตัวพบมีอาการชัก และเสียชีวิตในที่สุด

การป้องกัน คือ พยายามหลีกเลี่ยงนำสุนัขไปอยู่ในที่ร้อนอบอ้าว หรือ การพาจูงเดินทำกิจกรรมในช่วงที่อากาศยังร้อนอยู่ ไม่นำสุนัขขังอยู่ในรถรอในระหว่างที่ เจ้าของลงแวะซื้อของ ควรมีคนอยู่ด้วย จะได้ดูแลได้ทันท่วงที วางน้ำสะอาดให้สุนัขกินในจุดต่างๆในบ้านให้พอเพียง ให้สุนัขอยู่ในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก สุนัขพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด Heat Stroke ได้แก่ สุนัขพันธุ์ขนยาวๆ ทั้งหลาย เช้่น ไซบีเรียน โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ พันธุ์เหล่านี้ แนะนำตัดขนให้สั้นลง หรือ ซอย เพื่อให้การระบายอากาศที่ขนและผิวหนังทำได้ดีขึ้น ต่อมา สุนัขพันธุ์หน้าสั่นทั้งหลาย เช่น ปั๊ก บูลด๊อก สุนัขอ้วน ซึ่งจะทำให้มีไขมันสะสมที่ชั้นใต้ผิวหนังเยอะ การระบายความร้อนจะเกิดขึ้นได้ไม่ดีนัก ถ้าเทียบกับสุนัขปกติ สุนัขอีกประเภทที่มีปัจจัยเสี่ยงคือ สุนัขที่ชอบทำกิจกรรมทั้งหลาย เช่น ลาบราดอร์ เยอรมันเชฟเพิร์ด และ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ซึ่งดูเหมือนจะทั้งขนยาวและชอบทำกิจกรรมเช่นกัน

การแก้ไข ปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อเราพบสุนัขมีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรรีบนำสุนัขออกมาจากที่อยู่นั้นๆ เข้าห้องแอร์ ใช้น้ำที่อุณหภูมิห้องเช็ดตัว เน้นที่บริเวณ รักแร้ ขาพับด้านหลัง บริเวณอุ้งเท้า ซึ่งจะระบายความร้อนออกมาทางเส้นเลือดที่บริเวณผิวหนัง ขอย้ำนะคะ ให้ใช้น้ำธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นหรือน้ำเเข็งเช็ดตัว เช็ดตัวไปเรื่อยๆ และวัดอุณหภูมิทุกๆ 15 นาที จนกวาอุณหภูมิในร่างกายจะลดลงมาเหลือต้ำกว่า 103 องศาฟาเรนไฮต์ จึงค่อยหยุดเช็ดตัว สิ่งที่เราต้องการในตอนนี้ คือ ทำให้หลอดเลือดบริเวณผิวหนังสามารถขยายตัวทำงานได้ดีในการระบายความร้อนออก ไม่ใช่ทำให้หลอดเลือดหดตัว การใช้น้ำเย็นหรือน้ำเเข็ง จะทำให้หลอดเลือดที่ผิวหนังหดตัว อุณหภูมิอาจจะลงในช่วงแรก แต่ในระยะต่อมาการระบายความร้อนจะทำได้ช้าลง ค่ะ จากนั้นรีบนำส่งสัตวแพทย์ค่า คุณหมออาจให้น้ำเกลือเข้าเส้นเพื่อช่วยในการระบายความร้อนภายในออก และ ให้ยาอื่นๆ ตามอาการไปค่ะ

เครดิตข้อมูล
MJ Pet Hospital รพ.สัตว์หมอเจี๊ยบ ด่วนแจ้งวัฒนะ

เคสการแชร์เรื่องราวการเกิด Heat Stroke  ที่น้องเสียชีวิต
เครดิต BARF Station

 

แมวปากเหม็นทำงัยดี!!

 
เมื่อแมวมีปัญหาเรื่องกลิ่นปาก เจ้าของทั้งหลายอาจคิดว่าเป็นเพียงกินปกติของน้องแมว  แต่อย่าได้เมินเฉย เพราะสาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากปัญหาสุขภาพภายในที่ถ้าละเลยปล่อยนานวันเข้าปัญหาเหล่านั้นจะรุนแรงขึ้นจนอาจทำให้น้องแมวไม่ยอมกินอาหาร และป่วยหนักได้เช่นกัน  ดังนั้นเราไปดูกันเลยดีกว่าว่าสาเหตุทั้งหลายมาจากปัจจัยใดบ้าง

สาเหตุที่มักทำให้แมวมีกลิ่นปากเหม็น

1.อาหาร
โดยกลิ่นนั้นอาจเกิดอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงหรือเศษอาหารที่หมักหมมตามซอกฟัน  ส่งผลให้แมวมีกลิ่นปากได้ และ แต่ปัจจัยนี้สามารถหายไปได้เมื่อมีการล้างช่องปาก และเปลี่ยนชนิดอาหาร
2. หินปูน
สาเหตุจากการที่มีการสะสมของคราบพล๊าค(Plaque) ที่ผิวฟัน ซึ่งประกอบด้วยเชื้อแบคทีเรีย เมื่อรวมตัวกับน้ำลาย และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากอาหารที่กินเข้าไป ก็จะก่อให้เกิดการสะสมเป็นหินปูน หรือหินน้ำลายเกาะอยู่ที่ผิวฟัน การสะสมจะเริ่มบริเวณโคนฟันที่ติดกับเหงือกทำให้แมวมีภาวะเหงือกอักเสบตามมา บางตัวพบว่ามีหินปูน ปริมาณมาก ในบางตัวอาจพบหินน้ำลายมีความแหลมคมจนบาดกระพุ้งแก้มเป็นแผลได้
3.ช่องปากอักเสบ
จากโรคไวรัส โรคไต โรคภูมิคุ้มกัน จากหินปูน จากโรคฟันกร่อน หรืออื่นๆ เมื่อมีการอักเสบชองช่องปาก จะทำให้มีการหลั่งของน้ำลายการสะสมของแบคทีเรียและคราบอาหารมากขึ้น นอกจากนี้หากรุนแรงมากอาจมีเลือด และเนื้อตายในช่องปากจากการอักเสบเรื้อรังได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นเหม็นรุนแรงได้
4.โรคทางเดินหายใจส่วนต้น
การติดเชื้อในโพรงจมูกและทางเดินหายใจส่วนต้นอาจส่งผลให้มีกลิ่นออกมาเวลาหายใจ และอ้าปากเนื่องจากช่องปากมีส่วนเชื่อมตอกับทางเดินหายใจ เช่นเดียวกันหากมีปัญหาติดเชื้อในช่องปากจะทำให้ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นได้
5.โรคตับ
เมื่อเกิดภาวะตับวาย การขับของเสียผิดปกติไป ของเสียในเลือดกลุ่มแอมโมเนียจะสูงขึ้นจนทำให้มีลมหายใจ และกลิ่นปากเหม็นได้
6.โรคไต
แมวที่ป่วยเป็นโรคไต เมื่อเกิดภาวะไตวายจะส่งผลให้ ของเสียในเลือดสูงจนมีกลิ่นออกมากจากปากและหากรุนแรงมากส่งผลให้ช่องปากและลิ้นเป็นแผลได้ และอาจมีอาเจียนและเกิดเป็นกลิ่นปากที่เหม็นได้เช่นกัน
7.โรคไวรัส ในแมว
มีไวรัสหลายชนิดที่มักส่งผลให้เกิดการอักเสบในช่องปาก  เช่น Feline calcivirus (FCV) ,Feline viral rhinotracheitis (FVR), feline leukemia virus (FeLV) and feline immunodeficiency virus (FIV) ซึ่งการป้องกันอาจทำได้โดยการฉีดวัคซีน ป้องกัน และลดความรุนแรงของโรคและรักษาทางยาหากติดเชื่อไวรัส
8.เนื้องอกในช่องปาก
ปัจจุบันพบว่าแมวมีเนื้องอกในช่องปากมากขึ้นเนื้องอกมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความรุนแรงต่างกันอาจเกิดบริเวณ เหงือก ลิ้น เพดานปาก หรือกระพุ้งแก้มได้  เมื่อเนื้องอกในช่องปากเจริญเติบโตมักจะเกิดการอักเสบเลือดออก มีเนื้อตาย และก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นในปากได้

อาการที่มักพบเจอ

  • หากเป็นแมวที่มีปัญหาช่องปากอักเสบ คราบหินปูน มักพบว่าจะมีอาการน้ำลายไหลมากกว่าปกติ หากเปิดปากเหงือก  จะอักเสบแดงบริเวณโคนฟัน หากรุนแรงมากอาจพบเลือดปนมากับน้ำลาย เกรอะกรังรอบปาก มีความอยากทานอาหาร แต่ ทานอาหารน้อยลงเจ็บปากจึงไม่ทาน
  • หากมีปัญหาเรื่องโรคไตวาย กลิ่นปากและกลิ่นลมหายใจจะมีกลิ่นรุนแรงคล้ายกลิ่นปัสสาวะ
  • หากมีปัญหาเรื่องโรคตับ มักพบอาการตัวเหลือง ปลายหูเหลือง ในบางตัวอาจมีภาวะอาเจียนร่วมด้วยค่ะ

เราจะสามารถป้องกันได้อย่างไร

หากเป็นปัญหาส่วนช่องปากสามารถทำได้โดย เปิดดูช่องปาก   โดยเจ้าของดูเองที่บ้าน เพื่อตรวจดูความผิดปกติ เนื่องจากหากพบความผิดปกติตั้งแต่แรกเริ่มจะทำให้แก้ไขได้ง่ายและส่งผลเสียต่อน้องแมวน้อยกว่าพบเมื่อเกิดปัญหารุนแรงแล้ว  เช่น เนื้องอก หากเจอขนาดเล็กอาจตัดตัวก้อนออก หากเจอขนาดใหญ่อาจต้องตัดกระดูกกรามออกเป็นต้น
การหัดแปรงฟัน เป็นการช่วยชะลอการเกิดคราบหินปูนและเหงือกอักเสบได้ ควรเริ่มตั้งแต่อายุน้อย อาศัยความใส่ใจค่อยๆฝึก  ซึ่งแมวนั้นในบางตัวอาจหัดแปรงยาก แต่มีประโยช์มาก เพราะเป็นกิจกรรมที่จะทำให้เจ้าคุ้นเคยกับช่องปากแมว และของสามารถเห็นสิ่งผิดปกติในช่องปากได้เร็ว ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เพื่อการป้องกันคราบหินปูนมากมาย เช่น เจลทาฟัน การผสมน้ำดื่ม ทั้งนี้ควรตรวจสอบผลการวิจัยรับรองประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์เหล่านั้นด้วย นอกจากนี้การทานอาหารเม็ดก็เป็นการช่วยชะลอการเกิดคราบหินปูนและเหงือกอักเสบได้เช่นกัน
พบสัตวแพทย์เป็นประจำ โดยควรได้รับการตรวจร่างกาย ตรวจช่องปาก เนื่องจากสัตวแพทย์เป็นผู้ที่มีความชำนาญในการเปิดปากและสังเกตความผิดปกติต่าง นอกจากนี้การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉับโรค เช่น โรคไวรัส โรคตับ โรคไต เพื่อหากเริ่มมีอาการอ่อนๆ จะได้ทำการรักษาให้ทันท่วงทีการขูดหินปูนเมื่อมีการสะสมของหินปูนก็จะทำให้เป็นการป้องกันการเกิดช่องปากอักเสบและมะเร็งในช่องปากได้เช่นกัน ทั้งนี้บางครั้งการตรวจวินิจฉัยโดยละเอียดอาจต้องทำภายใต้การวางยาสลบ เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆเข้าไปในช่องปาก เช่น การเอ๊กเรย์ฟัน การใช่อุปกรณ์ตรวจผิวฟันที่แหลมคม
ขอขอบคุณ สพ.ญ. ปณิธิ สุโข และ สพ.ญ. เรวดี เติมวิริยะกุล สำหรับบทความที่ดีนี้
เครดิตข้อมูล; http://vet4polyclinic.com

น้องหมาชอบขึ้นคร่อมแขนขา ทำอย่างไรดี

หลายๆบ้านคงเคยเจอ น้องหมาชอบขึ้นคร่อมแขนหรือขา จะทำอย่างไรดี ปัญหานี้ไม่ได้เป็นผลเนื่องมาจากความผิดปกติของอวัยวะเพศมีปริมาณน้ำเชื้อในเจ้าน้องหมาเสมอไป แต่อาจจะเป็นพฤติกรรมในการแสดงการคุมฝ่ายตรงข้าม

ซึ่งแน่นอนผมเชื่อว่าคุณน่าจะอายบ้างแหละ ^_^  ถ้าเจ้าน้องหมาของคุณปฏิบัติตัวอย่างนี้ให้ใครเห็น  ปกติแล้วพฤติกรรมเช่นนี้จะแสดงออกมาตั้งแต่น้องหมายังเป็นเด็กอยู่เพียงแต่ว่าเขาจะทำต่อข้าวของเครื่องใช้เท่านั้นแต่พอเริ่มโตขึ้นเขาก็จะเปลี่ยนมาทำกับคุณแทน

โดยอาจจะทำที่แขนหรือขาของคุณ  เพราะฉะนั้นคุณควรแก้นิสัยที่ไม่ดีนี้แต่เนิ่นๆเมื่อสังเกตว่าลูกสุนัขเริ่มที่จะขึ้นขี่ข้าวของเครื่องใช้และก็ให้รีบส่งเสียงดังๆห้ามปรามและถ้าเขาไม่เลิกทำให้ลงโทษเขาทันทีดัดนิสัยตั้งแต่เขายังเล็กอยู่จะง่ายกว่าที่จะปล่อยให้เขาโตมาพร้อมพฤติกรรมเช่นนี้ นอกจากนี้ยังพบว่าการตอนเป็นวิธีที่สามารถจะหยุดพฤติกรรมแบบนี้ได้เช่นกันครับถ้าใช้วิธีไหนๆแล้วก็ไม่ได้ผล

 

 

เครดิตรูปภาพ;

Home Page

วิธีการ สังเกตโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข แมว

โรคพิษสุนัขบ้าหรือเรียกว่าโรคกลัวน้ำ เกิดในสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมักพบในสัตว์ที่เคยถูกสุนัขบ้ากัดมาก่อนพบมากที่สุดในสุนัข รองลงมาคือแมว สัตว์ที่ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้า สามารถแผ่เชื้อจากน้ำลายได้เป็นระยะๆ เชื้อจะเข้าร่างกายคนหรือสัตว์ทางบาดแผลหรือเยื่อบุต่างๆ
และเพิ่มจำนวนในปมประสาทใกล้บาดแผล และเดินทางเข้าสู่สมองและขับออกมาทางน้ำลาย

 

เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่คนได้อย่างไร

1.ทางสัตว์ที่เป็นโรคกัดหรือข่วน
2.สัมผัสน้ำลายสัตว์ที่เป็นโรค เลีย น้ำลายสัตว์กระเด็นเข้าแผล เยื่อบุตา จมูก หรือปาก
3.การปลูกถ่ายอวัยวะ ช่องทางนี้มีโอกาสน้อยมาก

อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข มักแสดงหลังได้รับเชื้อ 3 สัปดาห์ ถึง 6 เดือน เมื่อแสดงอาการแล้วจะตายภายใน 10 วัน

สุนัขที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้า

1.มักมีอาการดุร้าย กัดคน สัตว์สิ่งของไม่เลือก
2.มีอาการซึ่ม ลิ้นห้อย กิน กลืนอาหาร หรือน้ำไม่ได้

หากสุนัขมีอาการเหล่านี้ ควรอยู่ให้ห่าง และรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์

อาการที่พบในคนที่ติดโรคพิษสุนัขบ้า

ระยะฟักตัวของโรคอยู่ในระยะเวลา 3 สัปดาห์ ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับบริเวณที่สัมผัส คนที่มีติดเชื้อมักมีไข้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย กลัวแสง กลัวลม หนาวสั่น กลืนลำบากโดยเฉพาะของเหลว กลัวน้ำ คันบริเวณที่ถูกกัด บางที่เอะอะโวยวาย คุมสติไม่อยู่ ระยะท้ายจะมีอาการอัมพาต ตายในที่สุด ปัจจุบันไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่สามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงการถูกกัดหรือสัมผัสสัตว์ที่เป็นโรคและถ้าหากถูกสัตว์กัดข่วนป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและอิมมูโนโกลบูลินหรือภูมิคุ้มกันแบบสำเร็จหลังถูกกัดหรือข่วนให้เร็วที่สุดและไปรับวัคซีนให้ตรงตามนัดทุกครั้งด้วย

วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า สามารถฉีดได้ 2 วิธี

1.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่ต้นแขน โดยฉีดทั้งหมด 5 ครั้งด้วยกัน
2.ฉีดเข้าในผิวหนังฉีดทั้งหมด 4 ครั้ง

ถ้าหากถูกหมาแมวหรือสัตว์ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดหรือข่วน ให้รีบล้างแผลใส่ยา กักขังหมาหรือแมว 10 วันเพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด และ อย่าลืมฉีดวัคซีนให้ครบทุกครั้งด้วยนะ

 

 

เครดิต รูปภาพ
dogbitesohio.com
http://www.agriculture.gov.au

โรคพิษสุนัขบ้า อย่าท้าทายกับความตาย!

โรคพิษสุนัขบ้า อย่าท้าทายกับความตาย!

โรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies) เกิดจากเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าไวรัสทำให้เกิดจากอักเสบของสมองและไขสันหลัง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา ผู้ป่วยมีอัตราการเสียชีวิต 100%

ใครมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าได้บ้าง
ทั้งคน หมา แมว โค กระบือ กระรอก กระต่าย โลมา (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม)

การติดเชื้อเกิดได้อย่างไร
1.เชื้อสามารถเข้าทางเยื่อบุตาได้
2.การปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น กระจกตา ตับ ก็ทำให้เกิดโรคในคนได้
3.การกินซากสุนัขป่วย
4.การโดนกัด โดยสัตว์ป่วย (น้ำลายของสัตว์ป่วยเป็นหลักที่แพร่เชื้อ)

การป้องกัน
1.ไม่ควรไปเล่นหรือสัมผัสสัตว์ที่ไม่ทราบประวัติการทำวัคซีนพิษสุนัขบ้า
2.หลีกเลี่ยงสุนัข แมวจรจัด โดยเฉพาะตัวที่มีลักษณะก้าวร้าว
3.สัตว์เลี้ยงทุกตัวควรต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคทุกปี
4.หลีกเลี่ยงการให้สัตว์เลี้ยงไปสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์จรจัด
5.คนที่มีความเสี่ยง เช่น นายสัตวแพทย์และผู้ช่วย คนจับสัตว์ หรือคนที่เลี้ยงที่ไม่มีเจ้าของ ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน

เมื่อโดนกัดต้องทำอย่างไร
เมื่อโดนสัตว์ที่น่าสงสัยกัด ต้องรีบล้างแผลและฟอกสบู่นานๆ อย่างน้อย 10-15 นาที ใส่ยาแผลสด และรีบไปพบแพทย์เพื่อได้รับวัคซีนและ/หรืออิมมูโนโกลบูลินและแจ้งเจ้าหน้าที่ให้จับสัตว์ที่กัดไปกักดูอาการ และยืนยันการติดเชื้อ

 

 

เครดิตรูปภาพ
www.cdc.gov
www.indiatoday.in

กำจัดคราบและกลิ่นฉี่น้องหมายังไงให้อยู่หมัด !

เพื่อน ๆ คนรักน้องหมาหลาย ๆ คนที่เลี้ยงน้องหมาไว้ภายในบ้าน ส่วนมาแล้วก็มักจะจัดบริเวณให้น้องหมาขับถ่ายเป็นที่ด้วยการวางถาดฉี่ให้น้องหมา แต่น้องหมาส่วนมากก็มักจะซุกซน ขับถ่ายไม่ตรงจุดที่เราเตรียมไว้ให้ แต่กลับชอบที่จะขับถ่ายเรี่ยราด ไม่เป็นที่ จนเกิดเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจ ทำให้

เพื่อน ๆ ต้องคอยตามเช็ดฉี่ และอึของน้องหมา ทำให้ต้องทำงานบ้านหนักมากยิ่งขึ้น …

สำหรับการทำความสะอาดคราบฉี่น้องหมาบนฝาผนัง หรือบนพรม นั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีตัวช่วยสำคัญคือ น้ำสมสายชู น้ำยาล้างจาน และเบคกิ้งโซดา (Baking Soda) ค่ะ โดยให้เพื่อน ๆ นำน้ำสมสายชู น้ำยาล้างจาน และผงฟูมาผสมในน้ำสะอาด แล้วนำฟองน้ำมาชุบส่วนผสมไปขัด ๆ ถู ๆ บนผนังบ้าน หรือใช้วิธีซับบนพรมที่เปื้อนคราบฉี่ของน้องหมา แล้วทิ้งไว้สัก 30 วินาที ส่วนผสมก็จะกัดคราบฉีให้หลุดออกได้อย่างง่ายดาย
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนนะคะ ว่าสาเหตุที่น้องหมาขับถ่ายเรี่ยราด ไม่เป็นที่นั้นอาจจะเป็นเพราะว่า น้องหมาต้องการสร้างอาณาเขต หรือบางตัวก็อาจจะอยากเปลี่ยนบรรยากาศการขับถ่าย ด้วยการมาขับถ่ายในที่ต้องห้ามที่เจ้าของไม่ต้องการ เช่น กองเอกสาร บนพรมสวย ๆ หรือในน้องหมาเพศผู้ที่ชอบยกขาเล็งเป้าฉี่ไปที่ฝาผนังบ้าน ฯลฯ

ซึ่งถ้าหากน้องหมาเคยขับถ่ายตรงจุดไหนไว้แล้ว ก็มีแนวโน้มว่า น้องหมาจะกลับมาขับถ่ายที่เดิมอีกอย่างแน่นอน เพราะว่ากลิ่นที่คุ้นเคยก็ยังคงอยู่ที่เดิม เราจึงต้องเริ่มจัดการปัญหาเรื่องการขับถ่ายไม่เป็นที่ของน้องหมา ด้วยการจัดการพฤติกรรมขับถ่ายไม่เป็นที่ของน้องหมาก่อนค่ะ

โดยในช่วงแรกเราจะต้องใช้ความอดทนในการสังเกตพฤติกรรมการขับถ่ายของน้องหมาในแต่ละวัน ว่าเขาขับถ่ายตอนไหนบ้าง และทุก ๆ วันก็ควรพาน้องหมาไปขับถ่ายในช่วงเวลาเดิม ๆ และสถานที่เดิม (ตรงจุดที่เราต้องการให้น้องหมาขับถ่าย) ถ้าหากทำอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จะเป็นการตั้งนาฬิกาชีวิตให้น้องหมา ทำให้น้องหมามีพฤติกรรมขับถ่ายอย่างเป็นระบบได้แน่นอนค่ะ

กำจัดคราบและกลิ่นฉี่น้องหมายังไงให้อยู่หมัด !

ถ้าพูดถึงเรื่องคราบและกลิ่นฉี่ของน้องหมา เพื่อน ๆ หลายคนก็คงจะส่ายหัวเพราะเป็นปัญหาที่ทำให้ภายในบ้านมีกลิ่นเหม็นจนน่าปวดหัว และถึงแม้ว่า จะพยายามปัด กวาด เช็ด และใช้น้ำยาถูพื้น ยังไงกลิ่นฉี่ของน้องหมาก็ยังคงอยู่ในบ้านเหมือนเดิม … ซึ่งต้องขอบอกเลยค่ะว่า วิธีการกำจัดคราบฉี่ของน้องหมาที่เปรอะเปื้อนอยู่บนพรม หรือกลิ่นฉี่ที่ตลบอบอวลอยู่ในบ้านไม่ใช่เรื่องยากค่ะ เพียงแค่เราต้องมีเทคนิคในการทำความสะอาดกันเล็กน้อยค่ะ

ส่วน วิธีกำจัดกลิ่นฉี่ของน้องหมา ก็จะง่ายคล้ายกับวิธีทำความสะอาดคราบฉี่ของน้องหมาค่ะ เพียงแต่เราจะใช้แค่น้ำส้มสายชู ผสมกับน้ำสะอาดเพียงแค่นั้น โดยอัตราส่วนของน้ำส้มสายชู 2-3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ถัง ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปถูพื้นหรือจุดที่มีคราบฉี่ที่มีความเหนียวอยู่ จากนั้นก็ให้เช็ดทำความสะอาดพื้นด้วยน้ำสะอาดตามลงไปอีกหนึ่ง เพียงแค่นี้ก็จะช่วยกำจัดกลิ่นฉี่ของน้องหมาให้หมดไปได้แล้วละค่ะ และอย่าลืมเปิดบ้าน ประตู หน้าต่าง ให้อากาศถ่ายเทด้วย

ทั้งนี้ เราไม่ควรใช้น้ำยาถูพื้นโดยเด็ดขาด เพราะในน้ำยาถูพื้นมีสารแอมโมเนียผสมอยู่ ซึ่งสารตัวนี้จะทำให้น้องหมาอาจกลับมาปัสสาวะที่เดิมค่ะ แล้วข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อใช้น้ำยา หรือส่วนผสมเช็ดทำความสะอาดเสร็จแล้วก็ควรเก็บไว้บนที่สูง ให้พ้นมือเด็ก ๆ และน้องหมา เพื่อความปลอดภัยกันด้วยนะ

เครดิตข้อมูล
โรงพยาบาลสัตว์นนทรี บางเขน
เครดิตรูปภาพ
commons.wikimedia.org
www.eandbcarpetcleaning.com
thebark.com

คลินิกรักษาสัตว์ หรือ โรงพยาบาล รักษาสัตว์ แบบไหนดี

เมื่อน้องสัตว์เลี้ยงเจ็บป่วย หรือต้องการทำวัคซีน เช็คสุขภาพ หลายคน คนคิดในใจว่าควรจะไป คลินิกรักษาสัตว์ หรือ โรงพยาบาลรักษาสัตว์ อันไหนจะคุ้มกว่ากัน

คลินิกรักษาสัตว์

หลายคนคงรู้แล้วว่าคลินิกรักษาสัตว์ ส่วนใหญ่ เครื่องมือในการรักษาสัตว์เลี้ยง จะมีเครื่องมืออุปกรณ์ไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นการรักษาพื้นฐาน เช่น การทำวัคซีน การตรวจสุขภาพเบื้องต้น การหยอดเห็บหมัด พยาธิหนอนหัวใจ และการให้ข้อมูลการรักษาเบื้องต้นเพื่อส่งต่อไปยัง โรงพยาบาลสัตว์ที่มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ครบในการรักษา คลินิกรักษารักษาจึงเหมาะสำหรับพาน้องหมา น้องแมว ไปทำวัคซีน หรือ ตรวจสุขภาพเบื้องต้นมากกว่า และราคาส่วนใหญ่พวกนี้จะถูกกว่า การที่พาสัตว์เลี้ยงเข้าไปที่ โรงพยาบาลสัตว์โดยตรง นอกจากจะมีเคสฉุกเฉิน อาจจะต้องพาน้องเข้าคลินิกเพื่อดูอาการเบื้องต้นก่อนแล้วให้คุณหมอส่งต่อไปรักษากับโรงพยาบาลสัตว์ที่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่ครบ

 

โรงพยาบาลสัตว์

ถ้าพูดถึง โรงพยาบาลสัตว์ เครื่องมือและอุปกรณ์ส่วนใหญ่ก็จะมีมากกกว่าคลินิกอยู่แล้ว แต่เราต้องเลือกโรงพยาบาลสัตว์ดีๆหน่อยนะครับ เพราะ โรงพยาบาลสัตว์บางที เครื่องมือแทบไม่ต่างอะไรจากคลินิกเลย เราควรพาสัตว์เลี้ยงของเราไปตรวจสุขภาพหรือรักษาสถานที่โรงพยาบาลที่มีมาตรฐานหน่อย เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงของเรา  ปัจจุบันผมว่าราคาของโรงพยาบาลสัตว์ที่เป็นเอกชนกับรัฐบาลไม่ค่อยต่างกันมาก ลองเปรียบเทียบราคาดูก่อนพาน้องไปรักษาว่าทางไหนคุ้มค่ากว่ากัน

ส่วนเคสที่จะพาน้องเข้าไปโรงพยาบาลสัตว์นั้นผมมองว่าควรจะเป็นเคสที่ เราต้องการให้น้องหมา น้องแมว ตรวจสุขภาพ อย่างละเอียด หรือ การรักษาโรคเฉพาะเจาะจงเพราะส่วนใหญ่โรงพยาบาลจะมีคุณหมอที่เป็นคุณหมอเฉพาะทาง จะทำให้การรักษามีประสิทธิที่ภาพที่ดีกว่า และค่าใช้จ่ายก็จะสูงตามไปด้วย

ถ้าคนไหนไม่เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายแนะนำให้พาน้องไปโรงพยาบาลสัตว์ดีกว่านะ….เครื่องมืออุปกรณ์ ทีมแพทย์ครบกว่า รักษาได้ตรงโรคตรงจุดมากกว่า และควรให้น้องสัตว์เลี้ยงของเรามีคุณหมอประจำตัวด้วยนะ จะทำให้การรักษาและการวินิจฉัยต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น

**สิ่งที่ต้องระวังเมื่อพาน้องไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกรักษาสัตว์ ระวังการติดโรค หรือ ติดเห็บหมัด กลับมาบ้านด้วยนะ ไม่ควรปล่อยน้องเดินเล่นในสถานที่โรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิกรักษาสัตว์นะ

 

เครดิตภาพ
http://www.barksdale.af.mil/
www.banfield.com

เรื่องฟันน้องแมวน่ารู้  ที่เราควรรู้!!

รู้ไหมว่าฟันของน้องแมวกับคนต่างกันยังไง?

  • น้องแมวมีฟัน 2 ชุด – เหมือนกับคนเรานี่แหละ พวกเขามีทั้งฟันแท้และฟันน้ำนม โดยฟันน้ำนมมี 26 ซี่และจะทยอยหลุดไปเมื่อมีฟันแท้ขึ้นมา หรือที่แมวอายุประมาณ 3-6 เดือน
  • มีฟันแท้น้อยกว่าคน – คนเรามีฟัน 32 ซี่ ในขณะที่น้องแมวมีฟันแท้แค่ 30 ซี่เท่านั้นเอง แหม…ก็ปากของเขาเล็กกว่าเราตั้งเยอะนี่เนอะ
  • ฟันซี่เล็ก แต่คมมาก – พูดได้เลยว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ  ดังนั้นแม้ฟันจะซี่เล็กกระจิดริด แต่คมกริบเลยนะจะบอกให้ ฉะนั้น อย่าได้ประมาทแรงเขี้ยวของเจ้าเสือย่อส่วนเหล่านี้เป็นอันขาด 
  • ฟันตัดเล็กจิ๋ว – นั่นเพราะหน้าที่ของฟันตัดด้านหน้าของแมวมีเพียงเอาไว้แต่งขนตัวเองเท่านั้น ส่วนฟันที่บดเคี้ยวและฉีกอาหรก็คือฟันเขี้ยว และฟันกรามด้านใน


เครดิตข้อมูล;โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
เครดิตรูปภาพ;commons.wikimedia.org

โดนสัตว์มีพิษทำร้าย…อันตรายแค่ไหนรู้หรือเปล่า?

หลายท่านอาจจะเคยประสบปัญหาน้องหมาที่บ้านไปไล่งับคางคกจนกลับมาหน้าตาบวมฉึ่ง แต่อย่าได้นิ่งนอนใจไปนะ เพราะพิษจากสัตว์เหล่านี้ ความจริงแล้วอันตรายที่แฝงไว้มีมากว่าที่เราคิด

พิษจากคางคก 
นอกจากจะทำให้บริเวณที่สัมผัสพิษเกิดอาการแพ้และบวมแล้ว สารพิษจากคางคกยังมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้สัตว์เลี้ยงมีอาการมึนงง เดินเซ คลื่นไส้อาเจียน ตาบอดเฉียบพลัน หรืออาจถึงขั้นชักและเสียชีวิตได้เลย ดังนั้น การถูกพิษจากคางคกจึงไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ที่เราจะนิ่งนอนใจได้ การพาน้องหมาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์หลังถูกพิษจึงเป็นการดีที่สุด

พิษจากงูเห่า
พิษของงูเห่าจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทเป็นหลัก โดยไม่ว่างูเห่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ปริมาณพิษก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย และแม้ไม่เห็นรอยเขี้ยวที่ถูกกัด แต่ถ้าสัตว์เลี้ยงแสดงอาการน้ำลายฟูมปาก คลื่นไส้อาเจียน อ่อนแรง มึนงง เดินเซ ก็ให้แน่ใจได้เลยว่าอาจถูกกัดเข้าให้แล้ว ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อฉีดเซรุ่มแก้พิษด่วนๆ มิเช่นนั้นอาจรุนแรงถึงขั้นกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และหากกล้ามเนื้อกระบังลมเป็นอัมพาต ก็คือสัตว์สามารถหยุดหายใจและเสียชีวิตได้เลยนะ

พิษจากงูเขียวหางไหม้
แตกต่างจากงูเห่า ก็คือพิษของเจ้างูเขียวหางไหม้จะออกฤทธิ์ต่อระบบเลือดเป็นหลัก คือจะไปมีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดแข็งตัวช้า หรือเกิดภาวะเลือดหยุดยากนั่นเอง ในกรณีสัตว์เลี้ยงถูกงูเขียวหางไหม้กัด หากมีอาการไม่ฉุกเฉินมากอาจไม่จำเป็นต้องให้เซรุ่ม แต่ยังคงจำเป็นต้องได้รับการรักษาแลดูอาการที่โรงพยาบาลเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยเสียก่อนจึงให้กลับบ้านได้
ดังนั้น จึงอยากฝากไว้ว่าปัญหาสัตว์เลี้ยงถูกสัตว์มีพิษกัดถือเป็นหนึ่งในเรื่องฉุกเฉิน เจ้าของจึงควรพาน้องหมาน้องแมวมาพบสัตวแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่าละเอียดและจะได้ช่วยกันรักษาอย่างทันท่วงที จะได้ไม่มีเรื่องเสียใจตามมาภายหลังไงล่ะ

 

เครดิตข้อมูล;โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
เครดิตรูปภาพ;pixabay.com

ทำไมต้องแปรงฟันให้น้องหมาน้องแมว

ใครเคยสงสัยไหมว่าทำไมน้องหมาน้องแมว ต้องแปรงฟัน  น้องหมาน้องแมวก็เหมือนคนเราครับ เวลากินอาหารแล้วมีเศษอะไรติดฟันยังรู้สึกรำคาญ แล้วนับประสาอะไรกับน้องหมาน้องแมว ทั้งที่คนเราแปรงฟันกันตั้งวันละ 2-3 ครั้ง แต่สำหรับน้องหมาน้องแมวที่เราเลี้ยง น่าแปลกที่บางคนอาจถึงขั้นไม่เคยดูแลแปรงฟันให้พวกเขาเลย เราเลยอยากมาย้ำเตือนกันเสียหน่อยว่า เพราะอะไรการแปรงฟันในสัตว์เลี้ยงถึงสำคัญ ถ้าพร้อมแล้วไปดูเลย

  • ลดปัญหากลิ่นปากได้ – เคยเป็นไหม เวลาที่เจ้าตูบหอบหายใจทีไร เจ้าของอย่างเราเป็นต้องหนีให้ไกลทุกที เพราะกลิ่นปากที่โชยมามันเกินเยียวยาเสียนี่กระไร ซึ่งความจริงแล้ว การมีกลิ่นปากเป็นการบ่งบอกกลายๆ ว่าสุนัขหรือแมวกำลังมีปัญหาสุขภาพเหงือกและฟันอยู่ และการหมั่นแปรงฟันให้พวกเขาเป็นประจำก็พอจะช่วยบรรเทาเบาบางปัญหานี้ลงไปได้บ้าง
  • ลดการสะสมของหินปูน – สำหรับในคน ปัญหาหนักของฟันก็คือ “ฟันผุ” แต่สำหรับในน้องหมาน้องแมว ปัญหาที่เราควรกังวลมากกว่าก็คือเจ้า “หินปูน” นี่แหละ เพราะการมีหินปูนเกาะที่ฟันเป็นจำนวนมากจะทำให้เริ่มมีช่องว่างระหว่างฟันกับเหงือกมากขึ้น นานวันเข้าฟันก็จะโยกและหลุดได้ ซ้ำร้ายยังอาจติดเชื้อแบคทีเรียเข้าไปตามร่องนั้นจนเข้าถึงกระแสเลือดไปสู่หัวใจได้เลยนะ ดังนั้น การแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการลดการสะสมของหินปูนเหล่านี้
  • แอบสังเกตสุขภาพช่องปากได้ – การที่เราต้องแปรงฟันให้น้องหมาน้องแมวแต่ละครั้ง มันจะทำให้เราได้สังเกตสุขภาพภายในช่องปากของนองหมาน้องแมวไปด้วยในตัวว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง ฟันซี่ไหนเริ่มโยกหรือเริ่มมีหินปูนแล้ว หรือในช่องปากมีแผลหรือไม่ ซึ่งอย่างหลังนี่สำคัญในน้องแมวมากเป็นพิเศษ เพราะอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อไวรัสบางชนิดได้ด้วย

ทีนี้ก็รู้แล้วสินะ ว่าการแปรงฟันมันสำคัญสำหรับน้องหมาน้องแมวขนาดไหน

 

เครดิตข้อมูล
โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
เครดิตรูปภาพ
https://www.flickr.com

การป้องกันสัตว์เลี้ยง ช่วงหน้าฝน

ช่วงหน้าฝน ฝนตกทุกวันแบบนี้ เพื่อนๆมีวิธีการดูแลสัตว์เลี้ยงอย่างไรกันบ้าง มาแชร์กันหน่อย วันนี้ทาง petsayhi จะมาบอกวิธีการดูแลสัตว์เลี้ยงช่วงหน้าฝนกัน ช่วงหน้าฝนอากาศเปลี่ยน ทั้งฝนตกและความชื้นต่าง ๆ บางทีร่างกายของสัตว์เลี้ยงอาจปรับตัวไม่ทัน ทำให้เจ็บป่วยหรือมีปัญหาด้านผิวหนังได้ เช่นกัน

ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ

ในช่วงหน้าฝนเป็นช่วงที่มีภาวะแวดล้อมต่างๆ เหมาะสมในการเพาะตัวเพิ่มจำนวนของเชื้อโรค ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงโรคที่มักมากับหน้าฝน ต้องไม่ลืมที่จะพาน้องหมาน้องแมวไปทำวัคซีนป้องกันเชื้อโรคกันนะ โดยเฉพาะน้องหมาน้องแมวที่อายุยังน้อย ยิ่งมีความเสี่ยงสูง

 ดูแลเรื่องอาหารและน้ำของสัตว์เลี้ยง

อากาศที่เปียกชื้นในหน้าฝนจะทำให้อาหารของน้องหมาเกิดการบูดเสียและเกิดเชื้อราได้ง่าย หากใครที่ให้อาหารเม็ด ก่อนจะให้อาหารควรตรวจเช็คให้เรียบร้อยว่าอาหารเม็ดไม่เก่า ไม่ขึ้นรา หรือใครที่ให้อาหารเป็นแบบปรุงเอง ก็ควรทำให้สุกสะอาด ไม่ปล่อยค้างคืน หากสัตว์เลี้ยงที่บ้านเกิดอาการ อาเจียน ท้องเสีย ซึม ก็ควรพาไปพบแพทย์อย่าปล่อยให้น้องมีอาการนานเกินไป

กรงหรือที่อยู่ของน้องหมาต้องไม่เปียกชื้นและไม่อับ

ที่อยู่ของน้องหมาควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก หากบริเวณที่อยู่ของน้องหมาเปียกชื้นควรเช็คให้แห้ง และพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนสาด ทั้งนี้ อาจนำไปสู่ปัญหากลิ่นอับ และทำให้น้องตากฝนไม่สบายได้

 

ระวังเรื่องการ ตากฝนของสัตว์เลี้ยง

การปล่อยให้สัตว์เลี้ยงตากฝน ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร อาจทำให้สัตว์เลี้ยงป่วยเป็นโรคหวัดหรือปอดบวมได้ อีกทั้งในช่วงหน้าฝน เป็นช่วงที่เห็บหมัดระบาด เมื่อออกไปข้างนอกมีโอกาสที่ติดเห็บหมัดมาด้วย นับว่าเป็นพาหะนำโรคทั้งในแมวและสุนัข จึงควรระมัดระวังอย่าให้สัตว์เลี้ยงตากฝนจะดีกว่า

ดูและผิวหนังของสัตว์เลี้ยงให้ดี

ระบบผิวหนัง ช่วงที่มีความชื้นสูงในหน้าฝน อาจทำเกิดสภาวะอับชื้นก็เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ง่าย ซึ่งอาจจะมีตุ่ม ผื่นคัน ยิ่งถ้ามีการติดเชื้อก็จะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ หรือเชื้อราได้ ซึ่งจะพบได้บ่อยตามบริเวณใบหูด้านใน ง่ามนิ้วเท้า รอบจมูกหรือรอบตา ควรจะหมั่นดูแลเรื่องผิวหนัง ขน ของเขาให้แห้งอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้เปียก หรือชื้น หากพบว่าสุนัขมี ตุ่มคัน เกา สะบัดหูบ่อย ๆ ควรจะรีบพาไปพบสัตวแพทย์ เพราะถ้าปล่อยไว้อาจจะกลายเป็นโรคผิวหนังชนิดเรื้อรัง ซึ่งต้องใช้เวลาในการรักษานาน รวมถึงต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาและดูแลในปริมาณที่สูงตามมา

 

ระวังเห็บและหมัด

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุนัขและแมวป่วย  เพราะเห็บเป็นพาหะนำโรค เช่น พยาธิในเม็ดเลือดหรือไข้เห็บ โลหิตจาง และ ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ยิ่งช่วงหน้าฝน ที่มีทั้งความร้อน ความชื้น ยังเป็นตัวการแพร่พันธุ์เห็บอย่างดี ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาความสะอาดของสัตว์เลี้ยงให้ดีถ้าพบสัตว์เลี้ยงของเรามีเห็บหรือหมัด ควรหายากำจัดเห็บหมัดมาใช้ หรือพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

ลดความเครียดให้สัตว์เลี้ยง

เมื่อฝนตก ฟ้าร้อง หรือ ฟ้าฝ่า เราควรพาสัตว์เลี้ยงมาไว้ใกล้ตัว เพื่อสร้างความอุ่นใจให้พวกเขาค่ะ เพราะเวลาฝนฟ้าคะนองเสียงดัง อาจทำให้สัตว์เลี้ยงของเราเกิดอาการเครียด และกลัวเสียงดังกล่าว เราจึงควรพาเขามาอยู่ใกล้ๆ หรือ เปิดทีวีเพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจก็ได้

เพื่อนๆคนไหนมีวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงช่วงหน้าฝน มาแชร์กันได้นะครับ

เครดิตรูปภาพ
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Golden_retriever_dirty.jpg
https://pixabay.com/th
http://maxpixel.freegreatpicture.com

เครดิตข้อมูล

สุขภาพดี สร้างได้ด้วยตัวคุณ

สังเกตสัญญาณปัญหาโรคผิวหนัง

คุณแน่ใจหรือ…ว่าน้องหมาน้องแมวที่คุณเลี้ยงไม่มีปัญหาผิวหนัง?
หลายท่านมักคิดว่า การที่สุนัขหรือแมวจะมีปัญหาผิวหนังได้คือต้องมีอาการคัน หรือไม่ก็ขนร่วง จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เมื่อเจ้าของเห็นว่าสุนัขหรือแมวไม่ได้มีอาการดังกล่าว จึงไม่ได้สังเกตหรือใช้มือสัมผัสตามตัว หรือแหวกขนของสัตว์เลี้ยงดูเลย ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณพลาดอะไรบางอย่างไปก็ได้ เพราะความจริงแล้ว ความผิดปกติของผิวหนัง ไม่ได้มีแค่อาการดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังมีอาการเหล่านี้ได้ด้วย

สะเก็ดรังแค
เป็นเศษผิวหนังตายแล้วที่หลุดลอก อาจบ่งบอกถึงปัญหาผิวหนังแห้ง หรือถ้าเป็นเศษผงสีดำ นั่นอาจเป็นอึของหมัดก็ได้นะ! เพราะเมื่อเจ้าหมัดดูดกินเลือดและเศษเซลล์ของสัตว์เลี้ยงแล้ว มันก็จะปล่อยอึที่เป็นเหมือนผงเลือดแห้งๆ ออกมา แสดงว่าการป้องกันเห็บหมัดที่ทำอยู่อาจจะไม่ได้ผลที่เท่าที่ควร

ผิวหนังแดง 
มักมาพร้อมกับอาการคัน เป็นหนึ่งในกระบวนการอักเสบ นั่นแปลว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่มากระตุ้นการอักเสบของผิวหนังบริเวณนั้น อาจเป็นการติดเชื้อยีสต์ แบคทีเรีย ไร หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนังก็ได้

ขนร่วง
สิ่งหนึ่งที่เจ้าของต้องแยกแยะก่อนคือ อาการขนร่วงที่เกิดจากปัญหาผิวหนัง แตกต่างจากการผลัดขนโดยทั่วไป เพราะการผลัดขนจะผลัดทั่วทั้งตัว และใช้เวลาไม่นาน ส่วนอาการขนร่วงที่ผิดปกติ มักจะเห็นขนแหว่งไปเป็นหย่อมๆ อาจเป็นตำแหน่งที่เกามากๆ หรือตำแหน่งที่โครงสร้างขนและผิวหนังถูกทำลายจนเปราะบาง และอาการจะไม่หายไปจนกว่าจะกำจัดสาเหตุได้

เลียเท้าบ่อย
สังเกตง่ายๆ โดยเฉพาะในน้องหมาขนสีขาว เราจะเห็นเป็นคราบน้ำลายสีน้ำตาลเปื้อนอยู่ตามขนที่อุ้งเท้า หรือบริเวณอื่นๆ ที่สัตว์เลี้ยงคันแล้วใช้ลิ้นเลีย และหนึ่งในโรคยอดฮิตของอาหารคันตามอุ้งเท้าก็คือปัญหาการติดเชื้อยีสต์ โดยมักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวตามตัวสุนัข หรืออาจเป็นอาการเบื้องต้นของโรคภูมิแพ้อาหารก็เป็นได้

 

เครดิตข้อมูล โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
เครดิตภาพ;http://www.dog-care-knowledge.com/dog-dandruff.html

3 สายพันธุ์แมวที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงในบ้านมากที่สุด

แมวเป็นสัตว์ที่มีความเป็นตัวเองสูงลิ่วอย่างที่เราก็ทราบกันดี เป็นสัตว์ที่รักความสันโดดครับ แต่กระนั้นแมวทุกสายพันธุ์ จะพันธุ์แท้ หรือพันธุ์ผสมก็สามารถเลี้ยงในบ้านได้เหมือนกันหมดถ้าหากเราสามารถดูแลเอาใจใส่พวกเขาอย่างดี แต่ก็มีครับสายพันธุ์ที่เป็นที่สุดของความเหมาะสมที่จะเลี้ยงในบ้าน คือ บริติช ช็อตแฮร์ แร็กดอล์ และ รัสเชี่ยน บลู ครับ

 

3 สายพันธุ์แมวที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงในบ้านมากที่สุด

  1. สายพันธุ์ 3 บริติช ช็อตแฮร์ (British Shorthair)  เป็นแมวที่มีลักษณะเงียบ ๆ ขรึมหน่อย ๆ แต่ว่ามีความน่ารัก เป็นมิตรกับทุกคน แถมยังชอบการนั่งบนตักอีกด้วย  ในการนำมาเลี้ยงตอนแรก ๆ อาจจะเป็นแมวที่นิสัยไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่พอนานไปก็เริ่มที่จะเล่นบ้าง มีเป็นแมวที่รักเจ้าของมากเลยนะ ใครที่ลองเลี้ยงครั้งแรกสายพัน British Shorthair ก็ดีจะเหมาะสุดแล้วสำหรับการเลี้ยงในบ้านครับ

2.  สายพันธุ์แร็กดอล์ (regdall) เป็นแมวที่ขี้เล่น แต่ก็ไม่เยอะไม่วุ่นวาย มีขนสวย นุ่มแววตาเป็นประกาย เป็นแมวไฮโซทีเดียว แถมยังมีเสียงร้องที่เบามากเมื่อเทียบกับแมวสายพันธุ์อื่น มันจึงจัดว่าเป็นแมวที่เหมาะกับการเลี้ยงในบ้านครับ

3.  สายพันธุ์รัสเชี่ยน บลู (Russian Blue ) เป็นแมวที่มีความเป็นตัวเองสูงมากเป็นพิเศษ อาจจะไม่ค่อยชอบสุงสิงเท่าไหร่ ใครที่รักแมวอยากเลี้ยงแมวในบ้านแต่งานก็ยุ่ง มีเวลาให้แมวไม่เยอะ เลี้ยง Russian Blue  ก็ดูจะเหมาะสุดนะครับ แต่แม้ว่าเจ้านี่มันจะอินดี้แต่ก็รักเจ้าของและต้องการความเอาใจใส่เหมือนกันนะครับ และเรื่องขนของแมวพันธุ์นี้เราอาจจะต้องคอยดูแลพิเศษหน่อยนะ ต้องสะอาด ต้องเรียบร้อย นะครับ

แม้ว่า 3 สายพันธุ์นี้จะเหมาะสุดในการเลี้ยงในบ้านแล้วเราจะเลี้ยงแมวแบบอื่นไม่ได้นะครับ แมวสายพันธุ์อื่นก็เลี้ยงได้เหมือนเดิม แต่ว่าความที่สุดอาจจะต้องยกให้ 3 ชนิดนี้ ใครอยากจะเลี้ยงแมวตัวไหนสายพันธุ์อะไรก็เอาที่ชอบ ที่สบายใจครับ แมวแต่ละตัวมีความน่ารักเหมือนกัน รักเจ้าของเหมือนกันครับ แต่ความดื้อ ความซน อาจจะต่างกันบ้าง ซึ่งเราอาจจะต้องฝึกนั่นเองครับ

ขอบคุณภาพแรกและข้อมูลจาก Whiskas Thailand

ดัชชุน [Dachshund]สายโหลดมาแล้ว สุนัขสายพันธุ์เยอรมัน สุดคาวาอี้

สายโหลดมาแว๊ว!!! ถอยหน่อย ๆ ดัชชุน (Dachshund) จะเดิน — วันนี้เรามาทำความรู้จักที่มาและลักษณะเด่นของดัชชุนกันครับ เป็นสุนัขสายพันธุ์เยอรมันที่สุดแสนคาวาอี้ ในไทยเราจะนิยมเรียกว่า “หมาไส้กรอก” ก็ลองคิดภาพตามนะครับ ดัชชุนเป็นสุนัขพันธุ์แบบโหลดเตี้ย เดินไปไหนมาไหนเราจะเห็นเหมือนกับไส้กรอกเดินได้นั่นเอง แต่สุนัขพันธุ์นี้ก็ได้รับความนิยมเลี้ยงกันมากและยังเป็นสุนัขประจำชาติของเยอรมันครับผม

ดัชชุนนั้นกลุ่มสุนัขฮาวด์ (Hound Group) มีส่วนสูงโดยเฉลี่ยอยู่ที่  13 – 23  ซม. น้ำหนัก   8 – 12 กิโลกรัมเท่านั้นเอง มีความเตี้ยเหมือนไส้กรอกอย่างเห็นได้ชัด มีความบึกบึน มีความแข็งแรง คือมีความเหมือนไส้กรอกอ้วน ๆ กรามของดัชชุนแข็งแรงมาก ในส่วนของสีตาก็เป็น ดำ – น้ำตาล  กล้ามเนื้อจะแข็งแรง ใบหูยาว

ดัชชุนนั้นมีทั้งพันธุ์แบบ ขนสั้น ขนยาว ขนหยาวด้วยนะ ซึ่งก็ยังคงมีความโหลดเตี้ยเหมือนกันเลย สีขนเองก็หลากหลายแต่ก็ยังคงอยู่ในโทน น้ำตาล ดำ ครีม ช็อคโกแลต เทา เป็นต้น และใน 1 ตัว ก็ไม่ได้มีแค่สีใดสีหนึ่งอาจจะมีผสมสัก  3 – 5 สีเลยครับ สวยใช่เล่นเลย  ราคาคงไม่ต้องพูดถึงแน่นอนว่า “แพง” ครับ

นิสัยของสุนัชดัชชุน

สบายใจครับเลี้ยงหมาพันธุ์นี้อารมณ์ดีได้ทั้งวัน  เพราะนิสัยของสุนัขดัชชุนนั้นร่าเริง อารมณ์ดี มีความสดใจ ตื่นตัวเสมอ เหมือนมันพร้อมสำหรับการวิ่งเล่นตลอดเวลา ชอบค้นหา ชอบอะไรที่ตื่นเต้น ๆ รักเจ้าของสุด ๆ ขี้อ้อนมากกกกกกก เลยครับ และที่สำคัญยังเป็นสุนัขขี้อิจฉาอีกด้วย ระวังนะครับถ้าใครจะรับสุนัขมาเลี้ยงเพิ่มโดยมีดัชชุนอยู่แล้วอาจจะต้องปรับความเข้าใจและขออนุญาติดัชชุนก่อนนะ

ถ้าอยากจะเลี้ยงบ้านก็อย่าลืมศึกษาข้อมูล ก่อนนะครับและต้องมีการเตรียมตัว เตรียมสถานที่ และสำคัญกว่านั้นคือ ต้องมี” เวลา” ให้น้องหมาด้วยครับผม และไม่ว่าท่านจะเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์อะไร ราคาถูก ราคาแพงอาจจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ สิ่งสำคัญคืออยู่ด้วยกันแล้วสนุก มีความสุขทั้งสองฝ่ายครับผม

9 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนรับเลี้ยงสุนัขจร

มีหลายบ้านที่ต้องการอยากจะรับเลี้ยงหมาจรไว้เพื่อให้น้องได้มีบ้านอยู่ แต่ว่าเราเองก็จะต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะรับน้องเข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เพราะสุนัขเองก็มีความคิด มีอารมณ์ นิสัย ลักษณะเฉพาะตัวเองในแต่ละตัวอาจจะผ่านเรื่องราวเเสนลำบาก เจ็บปวดมาไม่เหมือนกัน หลายบ้านที่รับเลี้ยงหมาจรก็มีบ้างที่จะต้องพบกับปัญหาในตัวของสุนัขเองไม่ว่าจะเป็น การไม่เชื่อฟัง การดื้อ การหนี ไม่ให้เข้าใกล้ ขู่ กัด และอื่น ๆ มากมาย หมามันระแวงเป็นธรรมดาเราต้องรู้อารมณ์และค่อย ๆ ปรับให้น้องค่อย ๆ ชินไปแบบทีละน้อยจนทำให้มันรู้สึกสบายใจ

แต่การรับมาเลี้ยงนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมครับ อย่างน้อยเหล่าหมาจรทั้งหลายจะได้รับความรัก มีบ้านอยู่ มีเจ้าของมีที่ให้วิ่งเล่น มีความสุขมากขึ้น ดีกว่าต้องไปเป็นหมาจรข้างถนน ครับ เอาล่ะวันนี้ผมเอา 9 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนที่จะตัดสินใจรับน้องหมาเข้ามาเลี้ยงครับ

9 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนรับเลี้ยงสุนัขจร

  1.  หากเจอสุนัขจรที่หมายตาจะเอามาเลี้ยงแล้วอย่าพึ่งด่วนตัดสินใจทันที ให้ทำความรู้จักกับกับนิสัยของสุนัขตัวนั้นก่อน และสร้างความคุ้นชินกันก่อน อย่างน้อยก็ให้น้องสบายใจเวลาเห็นเราและเราเองก็จะเริ่มเห็นนิสัยและพฤติกรรมของสุนัข
  2. หากคุณเป็นคนที่ค่อนข้างรำคาญง่าย หงุดหงิดง่าย การเลี้ยงหมาจรอาจจะไม่เหมาะเพราะมันจะค่อนข้างติดเจ้าของ อยากอยู่ด้วย อยากอยู่ใกล้ อยากเห็นติดตามตลอดเวลา น้องอาจจะสร้างความรำคาญให้คุณได้ฉะนั้นก็ต้องนึกคิดให้ดีก่อนนะครับ
  3.  ถามใจตัวเองดูพร้อมที่จะเป็นจ่าฝูงในการเผชิญกับศึกของสุนัขแล้วหรือยัง เพราะมันอาจจะสร้างความป่วนให้คุณได้ตลอดเวลา
  4.  ถ้าหากที่บ้านเลี้ยงหมาอยู่ก่อนแล้ว แต่การจะรับหมาตัวใหม่เข้ามาเลี้ยงก็อาจจะต้องใช้เวลาให้ หมาเก่า หมาใหม่ปรับตัวเข้าหากันนะครับ อย่าให้ความรักแก่หมาตัวไหนเป็นพิเศษ (หมามันน้อยใจเป็น)
  5.  ถ้าเดินทางบ่อย ไม่มีเวลาให้กับสุนัข ชอบปล่อยไว้ที่บ้านหรือมีคนดูแลแทน แต่มันก็ไม่เหมือนเจ้าของดูแลเองนะ คิดดี ๆ ครับ
  6.  ถ้าดูแล้วไม่มีเวลาเลย เฉียดมาเลยก็ไม่ได้ แนะนำว่าอย่าพึ่งรับมาเลยครับ
  7.  ถ้าสุนัขที่เลี้ยงอยู่ก่อน ขี้หวงเจ้าของมาก ข้อนี้ก็อย่าเลยครับ ไม่ดีต่อจิตใจหมาทั้งสองตัว
  8.  บริเวณบ้านถ้ายังไม่มีรั้วขอบ หรือไม่มีสถานที่สำหรับน้องหมาก็จัดเตรียมให้เรียบร้อยก่อนครับ เพราะถ้ารั้วไม่รอบขอบไม่ชิดน้องหมาอาจจะลอดออกไปข้างนอกได้ เสี่ยงอันตรายครับ
  9.  ถ้าบ้านมีเด็กซน ๆ อยู่ อย่าเพิ่มเลี้ยงหมาครับ เราไม่รู้ว่าหมา กับ เด็กในบ้านจะไปด้วยกันได้ดีมั้ย เพราะอาจจะเกิดอันตรายกับเด็กได้ครับผม

หมาจรจัดอยู่ข้างถนนมาก่อน ถูกทิ้งมาก่อน ปล่อยให้โดดเดี่ยวมาก่อน บางทีมันอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวหากมันจะเริ่มมีบ้านใหม่อีกครั้ง ท่านใดที่อยากจะรับเลี้ยงสุนัขจรจัดควรจะคิดให้ดีและเตรียมให้พร้อมครับ หากทั้งสุนัขและผู้เลี้ยงจูนกันติดก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ครับผม

วิธีทำให้น้องแมวดื่มน้ำและนมได้เพียงพอต่อร่างกาย

ทราบไหมครับว่าลูกแมวนั้นไม่ค่อยชอบดื่มน้ำเอาเสียเลย หรือดื่มน้อยมาก ๆ ทำให้อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายน้องเหมียว ฉะนั้นแล้วเจ้าของควรจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และหาวิธีทำให้แมวได้รับอาหารและน้ำเพียงพอในแต่ละวันด้วยครับ

ทำอย่างไรให้มีน้ำเพียงพอต่อร่างกายน้องแมว

ด้วยสาเหตุการไม่ชอบดื่มน้ำของลูกแมวนี่เอง ทำให้อาหารเปียกมีความสำคัญมากเพราะว่าลูกแมวจะได้รับน้ำในส่วนนั้นเข้าร่างกายนั่นเอง ส่วนนมที่จะให้แมวดื่มได้ควรเป็นนมสำหรับแมวเท่านั้น แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนที่เลือกนมให้แมว และที่สำคัญคือ “ห้าม” เด็ดขาด ห้ามเอานมวัวให้แมวดื่มเพราะว่านมวัวไม่เหมาะกับแมวเลย แถมยังย่อยยากมากอีกด้วย ถ้าดื่มนมวัวจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักไปและเกิดอันตรายกับแมวได้

อย่าลืมวางถาดน้ำไว้ให้น้องแมวตลอด 24 ชั่วโมง บางทีเขาอาจจะหิวและจะได้หาดื่มได้ด้วยตัวเอง แมวโตอาจจะดื่มน้ำบ่อยขึ้นแต่สำหรับแมวเด็กน้ำอาจจะต้องอาศัยอาหารเป็นตัวนำพาไปก่อน เพราะว่าลูกค้าจะไม่ชอบหาน้ำดื่มเอง

ไม่ว่าจะน้ำหรืออาหารร่างกายของแมวก็ต้องการในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายเหมือนกับคนเราที่จะต้องกินเพื่อเอาสารอาหารมาบำรุงร่างกายเลย ถ้าหากเลี้ยงแมวการใส่ใจดูแลในเรื่องการจัดหาอาหารเครื่องดื่มสำหรับแมวอย่างเหมาะสมกับช่วงวัยเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนะครับ